บันเทิง
ล่าสุด ‘ถา สถาพร’
ล่าสุด ‘ถา สถาพร’
เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่มากความสามารถคนหนึ่งของวงการสำหรับ ‘ถา สถาพร นาควิไลโรจน์’ ที่ปัจจุบันผันตัวมาทำงานเบื้องหลัง นอกจากบทบา ทการทำงานในวงการบันเทิง เขายังมีอีกหนึ่งบทบา ท
คือหัวหน้าครอบครัวนั่นเองค่ะหลังคุณถาวิวาห์กับภรรยาจนมีโซ่ทองคล้องใจด้วยกัน 2 คน นั่นเอง ชีวิตปัจจุบันของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างวันนี้มีภาพมาให้ชมกันค่ะ สถาพร นาควิไลโรจน์ อยู่บนถนนวงการบันเทิงมานาน
โดยเริ่มต้นอย่างสวยงามด้วยการเป็นนายแบบโดมอนแมนคนแรกของประเทศไทยในปี ค.ศ. 1986 หลังจากนั้นก็ก้าวเข้ามาทำงานในด้านอื่นๆ ในวงการบันเทิงหลังจากที่ครองพื้นที่นายแบบระ
ดับท็อปของประเทศมายาวนาน สถาพรหรือที่คนในวงการบันเทิงรู้จักกันดีในชื่อ “ถา” เริ่มต้นงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก มันเป็นยังงี้ ได้ยังไง ในปี พ.ศ. 2530 และแสดงละครโทรทัศน์
เรื่องแรกคือ แชมป์ชีวิต ในปี พ.ศ. 2531 หลังจากนั้นถาก็ถลำตัวให้กับแวดวงการแสดงทั้งภาพยนตร์และละครอย่างหมดหัวใจ เส้นทางการแสดงที่ต่อยอดสู่การกำกับ ความเคี่ยวกรำจากการ
ได้เรียนการแสดงกับหม่อมน้อย “หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล” ยอมรับว่าอุปนิสัยที่ชอบเรียนรู้ เก็บทุกรายละเอียด และทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดนำพาให้เขาก้าวมาถึงทุกวันนี้ แม้จะ
ไม่เคยตั้งเป้าหมายในชีวิตอย่างชัดเจนว่าต้องเป็นผู้กำกับมืออาชีพมาก่อน “จากวันนั้นถึงวันนี้มันก็ล้มลุกคลุกคลานมาพอสมควรนะครับ ก็เป็นรสชาติที่พอนึกย้อนไปแล้วก็เห็นภาพต่างๆ ของตัว
เองอยู่เยอะพอประมาณ บางทีอาจจะมาเขียนเป็นซีรี่ย์ได้สักเรื่องนึงเหมือนกัน แต่ก็ยังคิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่าเราตั้งใจและเพราะว่าเราทำอะไรแล้วเราคิดตลอด คิดว่าทำอย่างนี้เพราะอะไร เช่น
ถ่ายแบบ โพสต์ท่า ทำไมต้องโพสต์ท่าแบบนี้ พอวันนึงได้มาเล่นละคร ทำไมรุ่นพี่ๆ เขาต้องแสดงแบบนี้ ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลในการที่เรามอง อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ได้เป็นคนที่พอเห็น
อะไรแล้วปล่อยให้มันผ่านไป หรือได้ยินอะไรแล้วปล่อยให้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาผ่านไป มันจะผ่านกระบวนการต่างๆ อาจจะเป็นคนที่ค่อนข้างละเอียดกับสิ่งที่เข้ามาในชีวิตพอสมควร บางครั้ง
มันก็อาจจะมีผลในเชิงความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ผมว่านั่นมันก็ดีกว่าที่อะไรผ่านเข้ามาแล้วเราไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับมันเลย” “สิ่งนึงคือผมจะบอกกับทุกคนเสมอว่าให้เราเคารพงาน เพราะถ้าเราไม่มีงาน
เราก็ไม่มีวันนี้ เราก็ไม่มีตังค์ ไม่มีข้าวกิน ตรงนี้คือสิ่งที่เราพยายามบอกตัวเอง แล้วก็บอกทุกคนในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นผมจะโกรธมากกับบางคนที่เข้ามาในชีวิตแล้วเหยาะแหยะกับงาน
ถึงขนาดนั้นตัดกันก็มี ไม่เคารพตัวเราไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่เคารพงานผมจะปรี๊ดมาก แล้วก็มีปลดไป ในอดีตก็มีอยู่บ้าง นี่คือสิ่งที่เราทนไม่ได้ มันก็โยงไปถึงหลายๆ อย่าง พอเราเป็นแบบนี้แล้ว
เราก็มองแบบ วงเล็บนะ แบบที่เราไม่ได้เจ๋ง เราก็มองนักแสดงหลายๆ คนตั้งใจ นักแสดงอีกหลายคนเหมือนกันที่เล่นไปเรื่อยๆ น่ะ เล่นไปโดยที่ตัวเองไม่รู้กูเล่นอะไร เรามองออก เราเป็นนัก
แสดง แล้วเราก็จะมีความรู้สึก เฮ้ย ทำไมวะๆ แต่เราก็ไปเปลี่ยนเขาไม่ได้หรอก เขาเป็นเขาไง แล้วเราก็เป็นเรา แต่เราก็จะรู้สึกว่า เฮ้ย คุณทำอะไรอยู่ คุณเคารพกับสิ่งที่คุณทำหน่อยมั้ย”
