บันเทิง
‘เพชรา เชาวราษฎร์’ ปรากฏตัวอีกครั้ง
ปรากฏตัวอีกครั้ง สถานะเปลี่ยนไป
‘เพชรา เชาวราษฎร์’ รับเครื่องราชชั้นที่ 4 ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ไม่ค่อยได้ออกสื่อบ่อยเหมือนเมื่อก่อนเเล้วล่ะค่ะ สำหรับ อดีตนางเอกแถวหน้าของเมืองไทย เจ้าของฉายานางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง
อย่าง “เพชรา เชาวราษฎร์” ล่าสุด สร้างความดีใจและปลื้มปิติให้กับอดีตนางเอกดัง “อี๊ด เพชรา เชาวราษฎร์” (เอก นันทนาคร)
เป็นที่สุดหลังวันวานที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จากกรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้นำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดิเรกคุณาภรณ์ชั้นที่ ๔ จตุตถคุณาภรณ์
มามอบให้กับเจ้าตัวที่บ้านพักรามคำแหงซอย 4 ทั้งนี้ ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดิเรกคุณาภรณ์ชั้นที่ ๔
จตุตถคุณาภรณ์ให้กับอดีตนักแสดงดังวัย 78 ปีโดยมีประกาศตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2563 “เพชรา เชาวราษฎร์”
เกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2486 เป็นนักแสดงภาพยนตร์เจ้าของฉายา “นางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง” โดยมีผลงานการแสดงประมาณ 300 เรื่อง
ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2505 – 2521 และได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์) ประจำปี พ.ศ. 2561
โดยล่าสุดเฟซบุ๊ก Dechathorn Rungraung ได้ออกมาโพสต์ภาพของ เเม่อี๊ด เพชรา หลังจากที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ
ดิเรกคุณาภรณ์ชั้นที่ ๔ โดยโพสต์ระบุข้อความว่า ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดิเรกคุณาภรณ์ชั้นที่ ๔
จตุตถคุณาภรณ์แก่นางเอก นันทนาคร(เพชรา เชาวราษฎร์)โดยเจ้าหน้าที่จากกรมส่งเสริมวัฒนธรรมนำเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ดิเรกคุณาภรณ์ชั้นที่ ๔ จตุตถคุณาภรณ์มามอบให้ถึงที่บ้านพักรามคำแหงซอย 4 ยังความปลาบปลื้มในพระกรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นแก่นางเอก
นันทนาครและครอบครัวโดยทั่วกัน #ชรินทร์นันทนาครศิลปินแห่งชาติ นอกจากนี้ ชรินทร์ นันทนาคร และ สมาชิกชมรมรักษ์เพลงชรินทร์
ได้จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับ เพชรา เชาวราษฎร์ เนื่องในโอกาสได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์) พ.ศ.256
และโดย เพชรา ได้เผยถึงความภูมิใจกับรางวัลที่ได้รับในครั้งนี้ว่า ในคราแรกก็ไม่แน่ใจว่าตนเองจะได้รับการพิจารณาเพราะว่าไม่ได้แสดงมาเป็นเวลานานแล้ว
ก็ไม่รู้ว่าขอบเขตการพิจารณาความเป็นศิลปินแห่งชาติมีระบบระเบียบอย่างไร “ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะได้รับ แต่เมื่อทางกรรมการได้พิจารณาให้ได้รับ
เป็นศิลปินแห่งชาติก็ต้องกราบขอบพระคุณค่ะที่นึกถึงเพชรา เชาวราษฎร์อยู่ เพราะว่าตัวเองมองไม่เห็นก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสตอบแทนกับสังคมได้อย่างไร”
