ภาพล่าสุด ‘ตั้น’ น้องชาย ‘ติ๊ก’

ภาพล่าสุด ‘ตั้น’ น้องชาย ‘ติ๊ก’

สำหรับหนุ่ม ‘ตั้น พิเชษฐ์ไชย ผลดี’ น้องชาย ‘ติ๊ก เจษฎา ผลดี’ เป็นอีกหนึ่งคนที่อยู่ในวงการบรรเทิงมายาวนานมาก และเป็นที่รู้จักกันอย่างดี สำหรับหนุ่ม ‘ตั้น

พิเชษฐ์ไชย’ ในปัจจุบันเหันไปใชีชีวิตอยู่กับธรรมชาติแแบบติดๆกันเลยทีเดียว ซึ่งผลงานล่าสุดที่หนุ่ม ‘ตั้น พิเชษฐ์ไชย’ ได้เล่นร่วมกับพี่ชาย ‘ติ๊ก เจษฎา’ ก็คือละคร

‘เรื่อง ดั่งดวงหฤทัย’ นั่นเอง และก็ยังเคยทำรายการแนวลุยป่าอย่าง ‘เนวิเกเตอร์’ ที่ฉายอยู่บนหน้าจอทีวีมากว่า 14 ปี หลังจากลาจอไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และก่อน

หน้านี้สองพี่น้องหล่ออมตะก็เคยได้ให้สัมภาษณ์กับมือไว้เกี่ยวกับเรื่องราวของรายการ ‘เนวิเกเตอร์’ ที่สองพี่น้องร่วมสร้างมาพร้อมกัน โดย’พี่ติ๊ก’ เล่าว่า “ตอนแรกตั้น

เขาสนใจเรื่องกีฬาฟุตบอล แต่ถ้าจะให้ผมช่วยเขาทำรายการมันก็คงไม่ได้ เพราะผมไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้ เราก็มองว่าน่าจะทำรายการที่เป็นสิ่งใกล้ตัวของผม เพราะผม

เป็นผู้ดำเนินรายการ แล้วจะให้ตั้นเป็นคนถ่ายทำ ซึ่งเราก็ควรจะถ่ายทอดในสิ่งที่เรามีไลฟ์สไตล์แบบนั้น แล้วผมเป็นคนชอบเดินทาง ท่องเที่ยว ผจญภัย แล้วมันก็ถ่าย

ทอดจากตัวเราจริงๆ” ‘ตั้น’ เผยต่ออีกว่า “ต้องบอกก่อนเลยว่ารายการ ‘เนวิเกเตอร์’ มันเกิดจากไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของพี่ติ๊กและผมด้วย แล้วก็ในช่วงนั้นประมาณปี

พ.ศ. 2547-2548 ที่เราชอบการผจญภัย ไปท่องเที่ยว เดินป่า ไปทะเล กันอยู่ก่อนแล้ว รายการในแบบที่เราอยากทำยังไม่ค่อยมี เพราะมันเฉพาะกลุ่มมาก ถ้าอย่างนั้น

ลองทำรูปเล่มเพื่อไปเสนอช่อง ดูดีกว่าว่าจะผ่านไหม ซึ่งก่อนหน้านี้ผมชอบอยู่สนามฟุตบอล ชอบดูฟุตบอล เพราะเราชอบกันคนละแบบ ผมชอบอยู่สนามฟุตบอล ชอบดู

ฟุตบอลแต่วันหนึ่งพอต้องออกไปทำรายการ เนวิเกเตอร์ ผมรู้สึกว่ามันคืองานของพวกเราเอง เราต้องช่วยกัน ไม่ว่าจะตำแหน่งไหนผมทำได้หมด” แล้วเป็นยังไงบ้างในแง่

ที่ต้องทำงานร่วมกันกับพี่ชาย? “พี่ติ๊กพอเวลาทำงาน เขาจะค่อนข้างมุ่งมั่น ทุ่มเท แล้วก็จริงจัง พอเราเห็นพี่ติ๊กทำงาน เราก็รู้สึกว่าอยากจะช่วย อยากให้งานออกมาดีที่สุด

แล้วพอเราทำงานกับพี่ติ๊กไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปด้วย ถ้าพูดถึงสมัยวัยรุ่นมาถึงตอนนี้ พอโตขึ้น ด้วยเรื่องของหน้าที่การงาน เราจะเริ่มเห็นความแตก

ต่างกัน ส่วนเรื่องความหล่อ เรามีกันคนละสไตล์ ทัศนะของเรามองว่าเราหล่อกันคนละแบบ แต่ผมเคยทะเลาะกันจนหนีกลับบ้านกลางคันยังมีเลย พี่ติ๊กเขาสไตล์พูดกันตรงๆ

เขาไม่ได้คิดอะไรหรอก เขาก็ว่าไปเรื่อย บางทีเขาพูดไม่นึกถึงใจคนฟัง สุดท้ายผมฟีลขาด แบบไม่ไหวแล้ว ก็กะว่าจะกลับแล้วโทรหาแม่ แม่บอกก็ช่วยพี่เขา ถ้าเราไม่อยู่

แล้วพี่เขาจะถ่ายยังไง ใครจะมาถ่ายให้ พอแม่พูดผมก็คิดได้ เริ่มเห็นใจ ถ้าเราไปแล้วใครจะถ่าย เพราะมีตากล้องอยู่คนเดียวก็คือผมเป็นคนถ่าย ผมเลยนั่งรถกลับไปแล้วก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น กลับไปถ่ายต่อ”