บันเทิง
ชีวิตเคยลำบาก ‘อาวอ จิราวัฒน์’
ชีวิตเคยลำบาก ‘อาวอ จิราวัฒน์’
สำหรับ ‘จิราวัฒน์ วชิรศรัณย์ภัทร’ หรือที่รู้จักกันในชื่อของ ‘อาวอ จิราวัฒน์’ นักพากย์, นักแสดงมากความสามารถ เรียกได้ว่าเป็นดาราที่อยู่คู่วงการบันเทิงไทยมาอย่างยาวนาน
พอสมควร ที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่า กว่าชีวิตจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้เขาผ่านอะไรมาบ้าง พื้นเพบ้านเกิดเป็นคนจังหวัดสงขลา หาดใหญ่ เติบโตมาครอบครัว
ชาวจีน เป็นบุตรชายคนเล็ก และมีพี่สาว สมัยยังเล็กคุณแม่ต้องหาเลี้ยงมาด้วยตัวคนเดียว เพราะคุณพ่อได้จากไปก่อน และเมื่อสมัยยังเล็ก จำได้ว่าสิ่งสุดท้ายที่พ่อเหลือไว้ให้คือกิจการ
ร้านตัดผม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงต้องปิดตัวลงไป จากนั้นก็ใช้ชีวิตล้มลุกคลุกคลานมาพอสมควร แม่หาเลี้ยงครอบครัวด้วยตัวคนเดียว โดย ‘อาวอ จิราวัฒน์’ เล่าว่า ได้เรียน
แค่ถึง ป.7 ในสมัย เพราะแม่มีภาระที่ต้องส่งเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนของบุตรทั้งสอง และต้องเช่าบ้าน อยู่ ทำให้ ‘อาวอ จิราวัฒน์’ ไม่ได้เรียนหนังสือ ออกมารับจ้าง ทำแทบ
ทุกอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น ช่างซ่อมมอไซค์ คนจำหน่ายกล้วยแขก ถางร่องยางพารา ตอกลังปลา สมัยนั้นได้สตางค์หนึ่งสลึง ก็ตั้งใจทำ คือทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สตางค์ไปเลี้ยงดูพี่สาว
และแม่ ไม่มีแม้เสื้อผ้าดีๆ ใส่ แต่คุณแม่ก็ยังคอยสั่งสอนให้เราต้องขยัน ขยันอย่างสุจริต ถึงได้น้อยเราก็ภูมิใจ ไม่เคยน้อยใจในโชคชะตา ไม่เคยคิดว่าอย่ามีชีวิตอยู่ต่อเลยวะ คิดแต่ว่า
สักวันชีวิตต้องดีกว่านี้ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ ‘อาวอ จิราวัฒน์’ ลุกขึ้นสู้ และถือคตินี้มาตลอด อยากทำให้ครอบครัวสุขสบาย ให้แม่และพี่สาวอิ่มท้อง ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น จนมาถึงวันนึง
จุดเปลี่ยนของชีวิต ‘อาวอ จิราวัฒน์’ ได้ไปทำงานที่โรงแรมให้เห็นเป็นพนักงานรับรถ และเขาได้ไปเจอกับผู้มาใช้บริการเป็นประจำ คือชายชาวสิงคโปร์ มักจะเอารถมาให้เขาล้างอยู่บ่อยๆ
โดย ‘อาวอ จิราวัฒน์’ เล่าว่า “ในสมัยนั้น เพิ่งออกจากโรงเรียน แล้วมาเป็นพนักงานรับรถในโรงแรม ได้เงินเดือน 550 จุดเปลี่ยนคือไปเจอคนสิงคโปร์ที่เป็นแขกประจำ ชอบเอารถมาให้
ล้าง เราก็ล้างให้ทุกครั้งที่มา ล้างอยู่ปีนึงไม่เคยได้ตังค์ซักแดงเดียว มันพูดคำเดียว แต้งกิ้ว แล้วกลับเลย ผมก็พูดเล่นๆ แซวๆ กับเพื่อนว่าถ้าได้เงินจากคนนี่นะ จะเอามาใส่กรอบ
ติดฝาบ้าน วันนึงผมกลับบ้านไป ก็ตกใจมาก เจอผู้ชายชาวสิงคโปร์คนนั้น กำลังนั่งคุยกับแม่ ซึ่งเขาได้ที่อยู่ผมจากทางโรงแรม เพื่อมาคุยกับแม่ว่าจะพาผมไปอยู่สิงคโปร์ และจะจัดการทุกอย่าง
ในการเดินทางไปให้ เพราะเหตุผลคือ ผมล้างรถให้แกอยู่เป็นปี ไม่เคยบ่น ไม่เคยคิดจะอยากได้ผลตอบแทนจากเขา เขาเลยมั่นใจว่าผมเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เลยอยากที่จะมอบหมายหน้าที่การ
ทำงานให้เราดูแลกิจการของเชาทั้งหมดที่สิงคโปร์ หลังจากนั้นผมก็ใช้ชีวิตอยู่ สิงคโปร์ประมาณ 4 ปี แล้วก็กลับบ้านมาบวชให้แม่ ตอนนั้นยังเล็กอยู่ แล้วอยากเรียนหนังสือ อยู่วัดนาน
เลยบวชไปประมาณ 7 ปีการบวชในครั้งก็มีคนมาฟังเทศน์แล้วเขาเห็นว่าเสียงผมดี เลยอยากชวนไปเป็นนักพากย์หนัง-ภาพยนตร์ และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมได้มีอาชีพมาถึงทุกวันนี้”
